ข่าวประชาสัมพันธ์

ติดตามข่าวสาร เพื่อรับทราบข้อมูลล่าสุดของ ทีวีโอ เพื่อไม่พลาดความเคลื่อนไหวที่สำคัญของเรา

TVO ใช้มาตรการป้องกันโรค ASF

21 ตุลาคม 2562

โรค ‘ASF ในสุกร’ อาจเป็นชื่อที่ฟังดูไม่คุ้นหูนัก แต่เชื่อหรือไม่ นี่คือโรคในสุกรที่จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจได้อีกมากมายมหาศาล

โรค ASF ในสุกร (African Swine Fever) หรือ ‘โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร’ กำลังแพร่ระบาดในหลายประเทศ และอีกหลายประเทศก็ตระหนักถึงความรุนแรงที่อาจตามมา ไม่เพียงแต่เฝ้าระวัง แต่รัฐยังออกมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้โรคนี้แพร่ระบาดจนเกิดผลเสีย... แล้วประเทศไทยล่ะ เราตระหนักรู้ และเตรียมการป้องกันเกี่ยวกับโรค ASF ในสุกรนี้เพียงใด


ความน่ากลัวของ ASF ที่เราต้องทราบ

โรค ASF ในสุกร เกิดจากเชื้อไวรัสแอสฟาร์ (Asfravirus) ที่แม้จะไม่ได้เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน แต่ก็เป็นโรคระบาดร้ายแรงในสุกร หรือหมู และพบว่าสุกรที่ติดเชื้อเหล่านี้มีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ สุกรที่ป่วยยังสามารถเป็นพาหะนำโรคได้ด้วย

นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า เชื้อ ASF มีความคงทนในทุกผลิตภัณฑ์จากสุกร และสิ่งแวดล้อมได้สูง ทั้งเลือด เนื้อ กระดูก สารคัดหลั่ง และของเสียที่ขับออกจากสุกร ล้วนเสี่ยงต่อเชื้อที่นำไปสู่โรค ASF ในสุกรนี้แทบทั้งสิ้น

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และควบคุมโรคนี้ ด้วยผลกระทบที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจได้ หลายประเทศจึงต้องเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ในขณะเดียวกันการออกมาตรการป้องกันที่เป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันการระบาดก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ก่อนความเสียหายจะเกิดขึ้นอย่างในประเทศฟิลิปปินส์ และ เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศล่าสุดที่กำลังเผชิญกับโรค ASF ในสุกร ภาครัฐจึงได้ออกมาตรการป้องกัน และควบคุมเพื่อไม่ให้โรคนี้แพร่ระบาดจนส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ภาคเอกชนอุตสาหกรรมปศุสัตว์ก็เฝ้าระวังผ่านมาตรฐานระดับที่น่าเชื่อถือได้


เกิดอะไรขึ้นที่ประเทศไทย เราเฝ้าระวังดีพอหรือยัง ?

สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันยังไม่ได้มีการประกาศจากภาครัฐเรื่องการระบาดของโรค ASF ในสุกร แต่นั่นไม่ได้แปลว่าภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องนิ่งนอนใจมิได้เฝ้าระวังโรคนี้ เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุด โรค ASF ในสุกรเข้าใกล้ประเทศไทยมากขึ้น โดยเริ่มระบาดแล้วในเขตชายแดนของประเทศไทย เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว และเมียนม่า การเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้หลายฝ่ายตระหนัก และมีมาตรการป้องกันอย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบันประเทศไทยประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังการระบาดของโรค ASF ในสุกร แล้ว 27 จังหวัด (ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ 8 ตุลาคม 2562) ให้เป็นเขตเฝ้าระวังโรค 22 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี ตราด ราชบุรี ระนอง และประจวบคีรีขันธ์ รวมถึงอีก 5 จังหวัดที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังบางส่วน ได้แก่ ตาก (5 อำเภอ) ได้แก่ อุ้มผาง​ แม่สอด​ ท่าสองยาง​ แม่ระมาด​ และพบพระ พิษณุโลก (2 อำเภอ) ได้แก่ ชาติตระการ และนครไทย เพชรบุรี (2 อำเภอ) ได้แก่ หนองหญ้าปล้อง และแก่งกระจาน กาญจนบุรี (5 อำเภอ) ได้แก่ สังขละบุรี ทองผาภูมิ ไทรโยค เมืองกาญจนบุรี และด่านมะขามเตี้ย และชุมพร ที่อำเภอท่าแซะ


สำหรับภาคเอกชนไทย การป้องกัน และเฝ้าระวังโรค ASF ในสุกรมีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน ตัวอย่างหนึ่งของมาตรการป้องกันที่เป็นรูปธรรมจากภาคเอกชน คือ ระบบ Biosecurity ซึ่งนับเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่มีผลต่อการแพร่ระบาดของโรค ASF ในสุกรได้เป็นอย่างดี แม้จะยังไม่มีการระบาดของโรคนี้ แต่การป้องกัน และเฝ้าระวังด้วยมาตรฐานของระบบการผลิตที่น่าเชื่อถือก็นับเป็นมาตรการควบคุมโรคนี้ได้ดีอีกทางหนึ่ง

ตัวอย่าง ระบบ Biosecurity ของโรงงานผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรค ASF ในสุกร โดยที่ภาคเอกชนหลายแห่ง ได้ลงทุนเพื่อควบคุมการผลิต คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และระบบการดำเนินงาน เพื่อให้ปลอดเชื้อโรค ASF ในสุกร ตั้งแต่ขั้นตอนการขนส่ง บุคลากรในระบบปฏิบัติงาน โดยในระบบ Biosecurity เริ่มต้นกับการให้ความสำคัญตั้งแต่รถทุกคันที่เข้าออกในพื้นที่ หากเคยบรรทุกสินค้า ‘ประเภท Meat and Bone’ หรือผ่านพื้นที่ที่มีความเสี่ยง จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่เด็ดขาด รวมถึงรถทุกคันที่จะผ่านเข้าพื้นที่ยังต้องฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ และล้างล้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อได้รับการรองรับจากสถานบันชั้นนำ

บุคลากรในระบบปฏิบัติงานก็มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากคนสามารถเป็นพาหะนำโรคได้บุคคลกรทุกคนที่จะเข้า-ออกพื้นที่โรงงาน และการผลิต จะถูกตรวจสอบว่ามีสิ่งของต้องห้ามประเภทผลิตภัณฑ์จากสุกรเข้าไปในพื้นที่หรือไม่ รวมถึงต้องทำความสะอาดร่างกายก่อนเข้าพื้นที่ และรับประทานอาหารในพื้นที่จัดเตรียมไว้เท่านั้น


นอกจากนี้ในระบบ Biosecurity ยังต้องเริ่มตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบตั้งต้นในทุกผลิตภัณฑ์จากแหล่งวัตถุดิบที่ปลอดเชื้อ ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยผ่านความร้อน 110 องศาเซลเซียส ซึ่งจะสามารถทำลายเชื้อ ASF และเชื้อโรคอื่นๆ ได้ และต้องผ่านการตรวจสอบในห้องปฏิบติการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาเชื้ออื่น ๆ โดยเฉพาะเชื้อโรค ASF ในสุกรก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค และที่สำคัญการได้รับการรองรับมาตราฐานจากสถานบันต่างๆ อาทิ GMP, GMP+, HACCP, FSSC22000 ก็เป็นอีกหนึ่งความมั่นใจเช่นกัน

ระบบ Biosecurity จึงนับเป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากภาคเอกชนที่น่าสนใจอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ASF ในสุกรเช่นนี้


นอกเหนือจากระบบ Biosecurity ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ดีจากภาคเอกชน รวมถึงมาตรการป้องกันต่างๆ จากภาครัฐแล้ว ภาคประชาชนเองก็ยังสามารถมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังได้ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรที่ควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด แจ้งเบาะแส หรือหากมีข้อสงสัยก็สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักควบคุมป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ สายด่วน Call Center 063-225-6888 หรือแอปพลิเคชัน DLD 4.0

ที่มาเนื้อหาข่าว : ไทยรัฐออนไลน์

สำนักงานใหญ่

149 ถนนรัชดาภิเษก (ท่าพระ-ตากสิน) แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพฯ 10600

โรงงาน

81/7 หมู่ 1 ตำบลไทยาวาส อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม 73120

ติดต่อเรา

+66 2 477 9020
info@tvothai.com