TVO จับมือ BIG ใช้ Carbon Management Platform บริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ต่อยอดการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน
17 ตุลาคม 2567บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO และ บีไอจี ผู้นำด้านนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร่วมกันประกาศความสำเร็จในการนำ Carbon Management Platform มาใช้ในการคำนวณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ TVO และเป็นผู้ใช้รายแรกที่นำ Platform มาประกอบการทวนสอบ และได้รับการรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) นำไปสู่การต่อยอดการลดการใช้พลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของ TVO ภายในปี 2045
ก้าวสำคัญสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
การนำ Carbon Management Platform ที่พัฒนาโดยบีไอจีมาใช้ ถือเป็นก้าวสำคัญของ TVO ในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามและบริหารจัดการปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดเวลาในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ลดความผิดพลาดในการคำนวณ ทั้งนี้ TVO เป็นผู้ใช้งาน Carbon Management Platform รายแรกที่ผ่านการทวนสอบและได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์จาก อบก. อีกทั้งข้อมูลทั้งหมดยังได้รับการจัดเก็บอย่างเป็นระบบและสามารถเรียกใช้ได้แบบเรียลไทม์ นำไปสู่การบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งทาง TVO มีส่วนร่วมในการให้ความเห็นเพื่อพัฒนา Platform ให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ TVO สามารถวางแผนกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ทั้งการลดการปล่อยการเรือนกระจกร้อยละ 20 ภายในปี 2035 การมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2045 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2060 ตามลำดับ
บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO มุ่งสู่การผลิตที่ยั่งยืน
คุณพาชัย จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO กล่าวว่า “TVO ตระหนักถึงความสำคัญของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับทุกภาคส่วน จึงมุ่งเน้นการลดผลกระทบด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน TVO มีสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนมากถึง 85%โดยการนำ Carbon Management Platform จากบีไอจีมาใช้นั้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญ ที่จะช่วยให้ TVO บริหารจัดการพลังงานได้อย่างยั่งยืนและช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2045 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2060 ต่อไป ”
บีไอจี พร้อมขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
คุณปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี กล่าวว่า “บีไอจีเดินหน้าในการเป็นผู้นำนวัตกรรมเพื่อช่วยสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเป็นผู้ริเริ่มในการสร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) สำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย โดยบีไอจีเป็นบริษัทในเครือแอร์โปรดักส์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา มุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนระดับโลก บีไอจีตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน จึงมีการพัฒนา Carbon Management Platform เพื่อใช้จัดการ ตรวจสอบและวิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนฯ พร้อมนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้งาน Carbon Management Platform จากบีไอจีนั้น สามารถนำไปวางแผนลดการปลดปล่อยคาร์บอนเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero รวมถึงใช้เป็นข้อมูลจำแนกแหล่งปล่อยคาร์บอนเพื่อใช้ในการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร ยกระดับการบริหารจัดการพลังงานในภาคอุตสาหกรรมนั้น ๆ โดยอาศัยความชำนาญของบีไอจีมาช่วยสนับสนุนให้อุตสาหกรรมไทยมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีไอจีที่จะสร้างอนาคตที่สะอาดตามกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ GENERATING A CLEANER FUTURE ร่วมกัน
เกี่ยวกับบีไอจี
บีไอจี ผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology Company) เป็นบริษัทในเครือแอร์โปรดักส์ (Air Products and Chemicals, Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทใน New York Stock Exchange (NYSE) และ US Fortune 500 โดยได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) อย่างต่อเนื่องตลอด 13 ปี ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านความยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ก๊าซอุตสาหกรรม นวัตกรรม เทคโนโลยีการใช้ก๊าซสำหรับทุกอุตสาหกรรม และเป็นผู้ลงทุนโครงการกรีนไฮโดรเจน กรีนแอมโมเนียรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน เพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน ด้วยเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.bigth.com หรือ www.airproducts.com